; ต้นกระเจี๊ยบเขียว | MHMG

ต้นกระเจี๊ยบเขียว

ต้นกระเจี๊ยบเขียว

ต้นกระเจี๊ยบเขียว (Okra) หรือที่บางท้องถิ่นเรียกว่า “มะเขือเทศเทศ” เป็นพืชล้มลุกที่ปลูกง่าย โตไว และทนแล้งได้ดี จัดอยู่ในกลุ่มผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางอาหารสูง 

ต้นกระเจี๊ยบเขียว นิยมรับประทานฝักอ่อนในเมนูต้ม ผัด แกง หรือลวกจิ้มน้ำพริก อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยาช่วยในการย่อยอาหารและลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับเกษตรกรหรือผู้ที่มีพื้นที่ปลูกเล็กๆ การปลูกกระเจี๊ยบเขียวถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะให้ผลผลิตเร็วภายใน 45-60 วัน และสามารถเก็บเกี่ยวได้นานหลายสัปดาห์ 

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับลักษณะของต้นกระเจี๊ยบเขียว วิธีการปลูกและดูแลให้ออกฝักดก รวมถึงประโยชน์ที่น่าสนใจทั้งในด้านอาหารและสุขภาพ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจปลูกไว้บริโภคหรือจำหน่ายในเชิงพาณิชย์

ลักษณะทั่วไปของต้นกระเจี๊ยบเขียว

  • เป็นไม้ล้มลุกอายุประมาณ 3-6 เดือน สูงประมาณ 1–2 เมตร
  • ลำต้นตั้งตรง มีขนหยาบปกคลุม ใบหยักลึกคล้ายใบละหุ่ง
  • ดอกสีเหลืองอ่อน มีจุดสีแดงเข้มกลางดอก ขนาดใหญ่สวยงาม
  • ฝักยาวเรียว ปลายแหลม มีเหลี่ยม 5-8 เหลี่ยม ผิวมีขนเล็กๆ
  • เมล็ดกลมสีขาวอมเขียวหรือสีดำ เมื่อแก่จัด


พันธุ์กระเจี๊ยบเขียวที่นิยมปลูก

  • พันธุ์พื้นเมือง: ทนโรค ปลูกง่าย ฝักเล็กแต่รสชาติหวาน
  • พันธุ์ลูกผสม (Hybrid): เช่น พันธุ์ Clemson Spineless, Green Best 608 – ฝักใหญ่ เนื้อแน่น ไม่มีขน ฝักตรง ขายได้ราคาดี


การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • เลือกพื้นที่มีแดดจัดตลอดวัน ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี
  • ขุดดินลึก 20–30 ซม. ตากไว้ 5–7 วัน แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 1 กก./ตารางเมตร
  • ยกร่องหรือทำแปลงปลูกสูงเล็กน้อย ป้องกันน้ำขัง


วิธีปลูกกระเจี๊ยบเขียว

1 การเพาะเมล็ด

  • นำเมล็ดแช่น้ำอุ่น (50 องศาเซลเซียส) นาน 2–3 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้เปลือกนิ่มและงอกง่าย
  • หยอดหลุมละ 2–3 เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40–50 ซม. และระหว่างแถว 70 ซม.
  • เมื่อเมล็ดงอก ให้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือต้นแข็งแรงไว้เพียงต้นเดียว

2 ปลูกลงกระถาง

  • ใช้กระถางขนาด 12 นิ้วขึ้นไป มีรูระบายน้ำดี
  • ผสมดินปลูกจาก ดินร่วน 2 ส่วน + ปุ๋ยคอก 1 ส่วน + แกลบดิบ 1 ส่วน
  • ตั้งในที่มีแดดจัด รดน้ำสม่ำเสมอ


การดูแลรักษา

1 การให้น้ำ

  • ให้น้ำวันละครั้งในช่วงเช้า หากอากาศร้อนควรเพิ่มรอบตอนเย็น
  • ระวังอย่าให้แฉะหรือขังน้ำ อาจทำให้รากเน่า

2 การใส่ปุ๋ย

  • ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ทุก 2 สัปดาห์ในช่วงเจริญเติบโต
  • เมื่อเริ่มออกดอกให้เสริมปุ๋ยสูตร 12-24-12 เพื่อกระตุ้นการติดฝัก
  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรอบโคนเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน

3 การพรวนดินและกำจัดวัชพืช

  • พรวนดินรอบโคนเบาๆ ทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้อากาศถ่ายเท
  • กำจัดวัชพืชให้สม่ำเสมอ ลดการแย่งอาหาร

4 โรคและแมลงศัตรู

  • เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน แมลงวันเจาะฝัก ใช้น้ำหมักสมุนไพร หรือสบู่ดำผสมน้ำฉีด
  • โรคราใบจุด ใบไหม้   ใช้สารชีวภาพ เช่น บาซิลลัส หรือเชื้อไตรโคเดอร์มา


การเก็บเกี่ยว

  • เริ่มเก็บฝักได้เมื่ออายุประมาณ 45–60 วัน หลังหยอดเมล็ด
  • ฝักควรมีความยาว 7–10 ซม. ผิวเขียวมัน ไม่แข็งหรือแก่
  • เก็บวันเว้นวันหรือทุกวันในช่วงที่ออกฝักดก
  • ใช้กรรไกรตัดหรือเด็ดด้วยมือเบาๆ ไม่ให้ต้นเสียหาย
  • หากปล่อยให้ฝักแก่ จะส่งผลให้ต้นหยุดออกฝักใหม่

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว

1 ด้านโภชนาการ

  • อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินเอ ซี และเค
  • มีแร่ธาตุสำคัญ เช่น แมกนีเซียม โฟเลต แคลเซียม
  • เมือกจากฝักช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร

2 ด้านสุขภาพ

  • ช่วยระบบย่อยอาหาร: ไฟเบอร์สูง ป้องกันท้องผูก
  • ควบคุมน้ำตาลในเลือด: เมือกช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
  • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน
  • ลดคอเลสเตอรอล: ใยอาหารช่วยดูดซับไขมันส่วนเกิน
  • ต้านอนุมูลอิสระ: ป้องกันการเสื่อมของเซลล์


แนวทางเพิ่มมูลค่าผลผลิต

  • แปรรูปเป็นกระเจี๊ยบอบแห้งสำหรับต้มสมุนไพร
  • ทำเมนูเพื่อสุขภาพ เช่น กระเจี๊ยบลวก น้ำพริกกระเจี๊ยบ
  • จัดเป็นชุดผักปลอดสารเพื่อขายในตลาดสุขภาพ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • หากต้องการปลูกเชิงพาณิชย์ ควรปลูกแบบเวียนรุ่นห่างกัน 1–2 สัปดาห์
  • เลือกปลูกในฤดูฝนหรือต้นฤดูหนาว อากาศเย็นจัดหรือร้อนจัดเกินไปทำให้ฝักเสียรูป
  • ควรปลูกในพื้นที่ใหม่หรือหมุนเวียนพืชหลีกเลี่ยงโรคดินสะสม

0 Post a Comment

ใส่คำแนะนำในส่วนนี้ได้เลยค่ะ