การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ ไม่ใช่เพียงเรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความทนทาน อายุการใช้งาน และคุณภาพของไม้ที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ด้วย
ไม้แต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น ความแข็งแรง ลวดลาย สีสัน และความสามารๆถในการรับแรงหรือทนต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกัน การรู้จักชนิดไม้ที่เหมาะสมกับการทำเฟอร์นิเจอร์จึงช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพและคุ้มค่ากับราคาได้อย่างมั่นใจ
ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับไม้ที่นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ พร้อมอธิบายถึงจุดเด่น จุดด้อย และเหตุผลที่ไม้แต่ละชนิดได้รับความนิยม รวมถึงแนวทางในการเลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้บ้านหรือสำนักงานของคุณเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความงามที่ยั่งยืน
ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์
1. ไม้สัก (Teak Wood)
คุณสมบัติเด่น
- ไม้สักมีเนื้อไม้แน่น แข็งแรง ทนทานต่อปลวกและแมลง
- มีน้ำมันธรรมชาติในเนื้อไม้ ช่วยป้องกันความชื้น
- สีสวย ลายไม้เด่นชัด ดูหรูหรา
เหตุผลที่นิยมใช้
- เหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์ภายในและภายนอกอาคาร เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตู้
- ดูแลรักษาง่าย ใช้งานได้นานหลายสิบปี
ข้อควรระวัง
- ราคาสูง เนื่องจากเป็นไม้หายาก
- ต้องเลือกไม้ที่มีการอบแห้งดี ไม่เช่นนั้นอาจหดหรือบิดตัว
2. ไม้ยางพารา (Rubber Wood)
คุณสมบัติเด่น
- เนื้อไม้ปานกลาง แข็งแต่ไม่เปราะ
- ลวดลายเรียบ สีอ่อน เหมาะสำหรับทาสีหรือเคลือบผิว
เหตุผลที่นิยมใช้
- มีราคาย่อมเยา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นผลผลิตจากสวนยางเก่า
- นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์นหรือ DIY เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ชั้นวางของ
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรใช้กลางแจ้ง เพราะไม่ทนแดดฝน
- ต้องผ่านกระบวนการอบแห้งและเคลือบสารกันปลวก
3. ไม้โอ๊ค (Oak Wood)
คุณสมบัติเด่น
- แข็งแรงมาก มีเนื้อแน่น ลายไม้ชัดเจน
- มีทั้งสีแดง (Red Oak) และสีขาว (White Oak)
เหตุผลที่นิยมใช้
- ให้ความรู้สึกหรูหรา หนักแน่น ทนทานสูง
- เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์คลาสสิก เช่น โต๊ะทานอาหาร ตู้วางของ เตียงนอน
ข้อควรระวัง
- ราคาสูง
- น้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก
4. ไม้เมเปิ้ล (Maple Wood)
คุณสมบัติเด่น
- มีความแข็งสูง ลายไม้ละเอียด สีอ่อน
- ผิวเนียน เหมาะกับการทำงานละเอียด
เหตุผลที่นิยมใช้
- นิยมทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความปราณีต เช่น โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้โชว์
- เหมาะกับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลหรือโมเดิร์น
ข้อควรระวัง
- ไม่ทนต่อความชื้นสูง
- ต้องทาน้ำยาเคลือบให้ดีเพื่อป้องกันเชื้อรา
5. ไม้มะค่า (Makha Wood)
คุณสมบัติเด่น
- เป็นไม้เนื้อแข็ง ลายไม้ชัด สีออกน้ำตาลแดง
- ทนปลวกได้ดีมาก อายุใช้งานยาวนาน
เหตุผลที่นิยมใช้
- เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เช่น โต๊ะประชุม โต๊ะทำงานผู้บริหาร
- ให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง
ข้อควรระวัง
- หาได้ยาก ราคาสูง
- ไม้หนัก ต้องใช้ช่างฝีมือดีในการขึ้นรูป
6. ไม้เชอรี่ (Cherry Wood)
คุณสมบัติเด่น
- สีไม้มีเอกลักษณ์แดงอมส้ม ลายไม้สวย
- เนื้อไม้ไม่แข็งมาก ทำให้ขึ้นรูปง่าย
เหตุผลที่นิยมใช้
- นิยมในงานออกแบบตกแต่งภายในระดับพรีเมียม
- เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
ข้อควรระวัง
- สีจะเข้มขึ้นตามอายุ ต้องดูแลด้วยน้ำยาบำรุงไม้
- ราคาค่อนข้างสูง
7. ไม้แอช (Ash Wood)
คุณสมบัติเด่น
- มีความยืดหยุ่นสูง ทนแรงกระแทก
- ลวดลายสวย เหมาะกับงานดีไซน์ทันสมัย
เหตุผลที่นิยมใช้
- ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ประเภทเก้าอี้ โซฟา ที่ต้องรับแรง
- ตกแต่งได้หลากหลายทั้งสไตล์วินเทจและสแกนดิเนเวียน
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรใช้นอกบ้าน เพราะไม่ทนแดดฝน
- ต้องอบไม้ให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน
แนวทางการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้
- ดูชนิดไม้
ควรสอบถามว่าทำจากไม้ชนิดใด เพื่อประเมินอายุการใช้งาน ความทนทาน และความเหมาะสมกับการใช้งานจริง - ดูงานประกอบ
ตรวจสอบรอยต่อ ความเรียบร้อยของโครงสร้างว่ามีการเจาะ ตอก หรือเข้ามุมได้แข็งแรงหรือไม่ - ดูพื้นผิวไม้
ผิวไม้ควรเรียบ ไม่มีรอยแตก หรือปลวกกินภายใน - น้ำหนักและความมั่นคง
เฟอร์นิเจอร์ไม้จริงมักมีน้ำหนักมาก ให้ลองโยกดูว่าแข็งแรงหรือไม่ - มีการอบไม้หรือไม่
ไม้ที่ผ่านการอบแห้งจะหดตัวน้อยกว่าและป้องกันเชื้อรา ปลวกได้ดีกว่า - ตรวจสอบสารเคลือบ
ควรมีการเคลือบหรือทาน้ำยาอย่างดี เพื่อป้องกันน้ำ ความชื้น และเชื้อรา
บทสรุป เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดี ควรพิจารณาเลือกจากไม้คุณภาพ เช่น ไม้สัก ไม้ยางพารา หรือไม้โอ๊ค ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมกับการใช้งาน อายุ และดีไซน์ร่วมด้วย โดยทั่วไป อายุของต้นไม้ที่เหมาะสมสำหรับเฟอร์นิเจอร์จะอยู่ประมาณ 20 ปี ขึ้นไป ซึ่งปัจจุบัน อาจจะหาค่อนข้างยาก
0 Post a Comment
ใส่คำแนะนำในส่วนนี้ได้เลยค่ะ