การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ที่เจ้าของบ้านทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะระบบไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพ หรือมีข้อบกพร่องอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้ารั่ว ไฟดูด หรือแม้กระทั่งไฟไหม้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนโดยตรง เช่น ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานผิดปกติ หรือแอร์ที่ไม่เย็นต้องทำงานหนักขึ้น การตรวจสอบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถค้นพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรกก่อนลุกลามจนต้องเสียค่าซ่อมแซมสูง พร้อมทั้งช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดในบ้าน
บทความนี้จะนำเสนอเช็กลิสต์สำคัญที่ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างง่าย เข้าใจได้แม้ไม่ใช่ช่างไฟ เพื่อให้คุณใช้เป็นแนวทางดูแลบ้านอย่างปลอดภัยและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดปัญหา ไฟรั่วหรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างแอร์ไม่เย็นไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านปลอดภัย แต่ยัง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ รายละเอียดดังนี้
1. การตรวจสอบไฟรั่ว (ไฟรั่วลงดิน)
คืออะไร
- เกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วจากสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ลงสู่พื้นดิน
- สาเหตุเช่น ฉนวนเสื่อม, สายไฟขาด, อุปกรณ์ชำรุด
ประโยชน์ของการตรวจสอบ
- 🔋 ลดค่าไฟ: กระแสที่รั่วไหลจะถูกรวมคำนวณในหน่วยที่ใช้ ทำให้ค่าไฟเพิ่มโดยไม่รู้ตัว
- ⚡ ป้องกันไฟฟ้าช็อต: ช่วยลดความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะเด็กและสัตว์เลี้ยง
- 🔧 ยืดอายุเครื่องใช้ไฟฟ้า: ลดความร้อนสะสมที่เกิดจากไฟฟ้ารั่ว
วิธีตรวจสอบเบื้องต้น
- ใช้มิเตอร์ตรวจไฟรั่วแบบ Clamp Meter
- ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด และดูว่าเมนมิเตอร์ยังหมุนหรือไม่
- ใช้เบรกเกอร์ตัดทีละตัวเพื่อตรวจหาวงจรที่มีปัญหา
2. ตรวจสอบระบบแอร์ (กรณีแอร์ไม่เย็น)
สาเหตุที่พบบ่อย
- ล้างแอร์ไม่ถึงเวลา หรือกรองอากาศอุดตัน
- น้ำยาแอร์รั่ว
- คอมเพรสเซอร์เริ่มเสื่อม
- สายไฟ หรือคอนเดนเซอร์เสีย
ประโยชน์ของการตรวจสอบ
- 🔌 ประหยัดค่าไฟ: แอร์ที่ไม่เย็นจะทำงานหนัก คอมเพรสเซอร์ทำงานบ่อย ทำให้กินไฟมาก
- ❄️ เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็น: ลมเย็นเร็วขึ้น ไม่ต้องเปิดแอร์แรงหรือนาน
- 🛠️ ลดค่าใช้จ่ายซ่อมแซมใหญ่: ตรวจเจอปัญหาเล็กก่อนบานปลาย
สรุปผลประโยชน์ด้านค่าใช้จ่าย
- ตรวจไฟรั่ว | 5-20% ของค่าไฟต่อเดือน | ค่าไฟลดลงจากการไม่มีพลังงานสูญเปล่า |
- ตรวจแอร์ | 10-30% ของค่าไฟเครื่องแอร์ | แอร์ทำงานเบาลง เย็นเร็ว ใช้น้อยลง |
- ตรวจสายไฟเสื่อม | ลดความเสียหายจากไฟฟ้าลัดวงจร | ป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าพัง ค่าเปลี่ยนอุปกรณ์ |
ข้อแนะนำในการดูแลระบบไฟฟ้า
- ตรวจสอบระบบไฟทุก 6-12 เดือน
- ล้างแอร์ทุก 4-6 เดือน โดยช่างที่มีใบรับรอง
- ใช้ปลั๊กไฟและสายไฟมาตรฐาน มอก.
- ติดตั้งเบรกเกอร์กันไฟดูด (RCD) หรือ ELCB
* RCD ย่อมาจาก Residual Current Device คือ เครื่องตัดไฟรั่ว หรือ เครื่องตัดไฟรั่วลงดินอัตโนมัติ
* ELCB ย่อมาจาก Earth Leakage Circuit Breaker คือ เครื่องตัดไฟรั่วลงดินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เบรกเกอร์กันไฟรั่ว
เช็กลิสต์การตรวจสอบไฟฟ้าภายในบ้าน
ลำดับ | รายการตรวจสอบไฟฟ้า | รายละเอียด / จุดสังเกต | ความถี่ที่ควรตรวจ |
---|---|---|---|
1 | สภาพสายไฟทั่วบ้าน | มีรอยแตก ฉีก ขาด ละลาย หรือฉนวนเสื่อมหรือไม่ | ทุก 6-12 เดือน |
2 | เต้ารับ / เต้าเสียบ (ปลั๊กไฟ) | หลวม ละลาย มีรอยไหม้ หรือไม่แน่น | ทุก 6 เดือน |
3 | เบรกเกอร์ (Main & Sub) | ทำงานได้ปกติ ไม่มีเสียงผิดปกติ หรือเกิดความร้อน | ทุก 6 เดือน |
4 | ระบบสายดิน (Ground) | ตรวจสอบว่ามีสายดินต่อเข้ากับปลั๊กทุกจุด หรือมีการตัดสายหรือไม่ | ทุกปี |
5 | อุปกรณ์ตัดไฟอัตโนมัติ (RCD / ELCB) | ทดลองกดปุ่ม “TEST” ว่าทำงานตัดไฟตามปกติหรือไม่ | ทุก 3 เดือน |
6 | สวิตช์ไฟทุกจุด | ทำงานปกติ ไม่มีเสียงช็อตหรือสปาร์กขณะเปิด/ปิด | ทุก 6 เดือน |
7 | เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ (แอร์, ตู้เย็น) | ตรวจสภาพสายไฟและปลั๊ก รวมถึงการกินไฟผิดปกติหรือไม่ | ทุก 6 เดือน |
8 | ตรวจไฟรั่วด้วย Clamp Meter | วัดค่ากระแสรั่วของบ้าน เมื่อไม่มีการใช้งานไฟฟ้า | ทุก 6-12 เดือน |
9 | การใช้ปลั๊กพ่วง / ปลั๊กสามตา | หลีกเลี่ยงการใช้ปลั๊กพ่วงหลายชั้น หรือปลั๊กไม่ได้มาตรฐาน | ตรวจตลอดเวลา |
10 | ตรวจความร้อนจากอุปกรณ์ไฟฟ้า | ใช้มือสัมผัสเบาๆ กับปลั๊ก เบรกเกอร์ ถ้ามีความร้อนผิดปกติ | ทุกเดือน |
11 | ตรวจเช็คมิเตอร์ไฟฟ้า | มีการหมุนผิดปกติ แม้ไม่มีการใช้ไฟ หรือเปรียบเทียบค่าย้อนหลัง | ทุกเดือน |
12 | แสงไฟกระพริบหรือดับเอง | เป็นสัญญาณของสายไฟหลวม หรือวงจรเริ่มเสื่อม | ตรวจพบให้รีบซ่อม |
13 | ตรวจสอบอุปกรณ์กันฟ้าผ่า | ถ้ามีติดตั้ง ควรตรวจว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่ | ทุกปี |
0 Post a Comment
ใส่คำแนะนำในส่วนนี้ได้เลยค่ะ